วันพฤหัสบดีที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2556

การออกถังขยะด้วยโปรแกรม Google Sketch Up 8

การออกถังขยะด้วยโปรแกรม Google Sketch Up 8 


รูปถังขยะ

1. เข้าโปรแกรม Google Sketch Up 8 


2. เครื่องมือ

3. การลบคนโดยใช้ เม้าท์คลิ๊กไปที่คนแล้วกด Delete

4. สร้างรูปสี่เหลี่ยมโดยใช้ ที่สร้างรูปสี่เหลี่ยม ตามลักษณะที่ตัวเองต้องการ

5. ดึงรูปสี่เหลี่ยมขึ้นมาโดยใช้อุปกรณ์ดึง




6.ทำฝาถังขยะโดยใช้ดินสอวาด

7. ทำที่เหยียบให้ฝาถังขยะเปิดใช้เครื่องมือดึง


8. เติมสีตามต้องการ

ขอขอบคุณโปรแกรมGoogle Sketch Up 8 



















วันพฤหัสบดีที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2556


พุทธประวัติ ประวัติพระพุทธเจ้า


          "ศาสนาพุทธ" เป็นศาสนาประจำชาติไทยของเรา แล้วมีสักกี่คนเอ่ย...ที่ทราบถึงประวัติของ "พระสัมมาสัมพุทธเจ้า" ผู้ทรงเป็น "พระศาสดา" ของ "พระพุทธศาสนา" วันนี้กระปุกจึงนำเรื่องราวพุทธประวัติ หรือ ประวัติพระพุทธเจ้า มาฝากกันค่ะ
          พระพุทธเจ้าทรงมีพระนามเดิมว่า "สิทธัตถะ" หมายถึง ผู้ที่สำเร็จความมุ่งหมายแล้ว หรือผู้ปรารถนาสิ่งใด ย่อมได้สิ่งนั้น ทรงเป็นพระราชโอรสของพระเจ้าสุทโธทนะ กษัตริย์ผู้ครองกรุงกบิลพัสดุ์ แคว้นสักกะ และ "พระนางสิริมหามายา" พระราชธิดาของกษัตริย์ราชสกุลโกลิยวงศ์แห่งกรุงเทวทหะ แคว้นโกลิยะ

          ในคืนที่พระพุทธเจ้าเสด็จปฏิสนธิในครรภ์พระนางสิริมหามายา พระนางทรงพระสุบินนิมิตว่า มีช้างเผือกมีงาสามคู่ได้เข้ามาสู่พระครรภ์ ณ ที่บรรทม ก่อนที่พระนางจะมีพระประสูติกาล ที่ใต้ต้นสาละ ณ สวนลุมพินีวัน เมื่อวันศุกร์ ขึ้นสิบห้าค่ำ เดือนวิสาขะ ปีจอ 80 ปีก่อนพุทธศักราช (ปัจจุบันสวนลุมพินีวันอยู่ในประเทศเนปาล)
          ทันทีที่ประสูติ เจ้าชายสิทธัตถะทรงดำเนินด้วยพระบาท 7 ก้าว และมีดอกบัวผุดขึ้นมารองรับพระบาท พร้อมเปล่งพระวาจาว่า "เราเป็นเลิศที่สุดในโลก ประเสริฐที่สุดในโลก การเกิดครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายของเรา" แต่หลังจากเจ้าชายสิทธัตถะประสูติกาลได้แล้ว 7 วัน พระนางสิริมหามายาก็เสด็จสวรรคาลัย เจ้าชายสิทธัตถะจึงอยู่ในความดูแลของพระนางประชาบดีโคตมี ซึ่งเป็นพระกนิษฐาของพระนางสิริมหามายา

          ทั้งนี้ พราหมณ์ ทั้ง 8 ได้ทำนายว่า เจ้าชายสิทธัตถะมีลักษณะเป็นมหาบุรุษ คือ หากดำรงตนในฆราวาสจะได้เป็นจักรพรรดิ ถ้าออกบวชจะได้เป็นศาสดาเอกของโลก แต่โกณฑัญญะพราหมณ์ผู้อายุน้อยที่สุดในจำนวนนั้น ยืนยันหนักแน่นว่า พระราชกุมารสิทธัตถะจะเสด็จออกบวช และจะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าแน่นอน

 ประวัติพระพุทธเจ้า : ชีวิตในวัยเด็ก

          เจ้าชายสิทธัตถะทรงศึกษาเล่าเรียนจนจบศิลปศาสตร์ทั้ง 18 ศาสตร์ ในสำนักครูวิศวามิตร และเนื่องจากพระบิดาไม่ประสงค์ให้เจ้าชายสิทธัตถะเป็นศาสดาเอกของโลก จึงพยายามทำให้เจ้าชายสิทธัตถะพบเห็นแต่ความสุข โดยการสร้างปราสาท 3 ฤดู ให้อยู่ประทับ และจัดเตรียมความพร้อมสำหรับการราชาภิเษกให้เจ้าชายขึ้นครองราชย์

          เมื่อมีพระชนมายุ 16 พรรษา ทรงอภิเษกสมรสกับพระนางพิมพา หรือยโสธรา พระธิดาของพระเจ้ากรุงเทวทหะซึ่งเป็นพระญาติฝ่ายพระมารดา จนเมื่อมีพระชนมายุ 29 พรรษา พระนางพิมพาได้ให้ประสูติพระราชโอรส มีพระนามว่า "ราหุล" ซึ่งหมายถึง "บ่วง"


ประะวัติพระพุทธเจ้า : เสด็จออกผนวช

          วันหนึ่งเจ้าชายสิทธัตถะทรงเบื่อความจำเจในปราสาท 3 ฤดู จึงชวนสารถีทรงรถม้าประพาสอุทยาน ครั้งนั้นได้ทอดพระเนตรเห็นคนแก่ คนเจ็บ คนตาย และนักบวช โดยเทวทูต (ทูตสวรรค์) ที่แปลงกายมา พระองค์จึงทรงคิดได้ว่า นี่เป็นธรรมดาของโลก ชีวิตของทุกคนต้องตกอยู่ในสภาพเช่นนั้น ไม่มีใครสามารถหลีกเลี่ยงเกิด แก่ เจ็บ ตายได้ จึงทรงเห็นว่าความสุขทางโลกเป็นเพียงภาพมายาเท่านั้น และวิถีทางที่จะพ้นจากความทุกข์ คือต้องครองเรือนเป็นสมณะ ดังนั้นพระองค์จึงใคร่จะเสด็จออกบรรพชา ในขณะที่มีพระชนม์ 29 พรรษา
          ครานั้นพระองค์ได้เสด็จไปพร้อมกับนายฉันทะ สารถี ซึ่งเตรียมม้าพระที่นั่ง นามว่ากัณฑกะ มุ่งตรงไปยังแม่น้ำอโนมานที ก่อนจะประทับนั่งบนกองทราย ทรงตัดพระเมาลีด้วยพระขรรค์ และเปลี่ยนชุดผ้ากาสาวพัตร์ (ผ้าย้อมด้วยรสฝาดแห่งต้นไม้) และให้นายฉันทะ นำเครื่องทรงกลับพระนคร ก่อนที่พระองค์จะเสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์ (การเสด็จออกเพื่อคุณอันยิ่งใหญ่) ไปโดยเพียงลำพัง เพื่อมุ่งพระพักตร์ไปยังแคว้นมคธ


 ประวัติพระพุทธเจ้า : บำเพ็ญทุกรกิริยา

          หลังจากทรงผนวชแล้ว พระองค์มุ่งไปที่แม่น้ำคยา แคว้นมคธ ได้พยายามเสาะแสวงทางพ้นทุกข์ ด้วยการศึกษาค้นคว้าทดลองในสำนักอาฬารดาบส กาลามโครตร และอุทกดาบส รามบุตร แต่เมื่อเรียนจบทั้ง 2 สำนักแล้ว ทรงเห็นว่านี่ยังไม่ใช่ทางพ้นทุกข์

          จากนั้นพระองค์ได้เสด็จไปที่แม่น้ำเนรัญชรา ในตำบลอุรุเวลาเสนานิคม และทรงบำเพ็ญทุกรกิริยา ด้วยการขบฟันด้วยฟัน กลั้นหายใจและอดอาหาร จนร่างกายซูบผอม แต่หลังจากทดลองได้ 6 ปี ทรงเห็นว่านี่ยังไม่ใช่ทางพ้นทุกข์ จึงทรงเลิกบำเพ็ญทุกรกิริยา และหันมาฉันอาหารตามเดิม ด้วยพระราชดำริตามที่ท้าวสักกเทวราชได้เสด็จลงมาดีดพิณถวาย 3 วาระ คือดีดพิณสายที่ 1 ขึงไว้ตึงเกินไปเมื่อดีดก็จะขาด ดีดพิณวาระที่ 2 ซึ่งขึงไว้หย่อน เสียงจะยืดยาดขาดความไพเราะ และวาระที่ 3 ดีดพิณสายสุดท้ายที่ขึงไว้พอดี จึงมีเสียงกังวานไพเราะ ดังนั้นจึงทรงพิจารณาเห็นว่า ทางสายกลางคือไม่ตึงเกินไป และไม่หย่อนเกินไป นั่นคือทางที่จะนำสู่การพ้นทุกข์
          หลังจากพระองค์เลิกบำเพ็ญทุกรกิริยา ทำให้พระปัญจวัคคีย์ทั้ง 5 ได้แก่ โกณฑัญญะ วัปปะ ภัททิยา มหานามะ อัสสชิ ที่มาคอยรับใช้พระองค์ด้วยความคาดหวังว่าเมื่อพระองค์ค้นพบทางพ้นทุกข์ จะได้สอนพวกตนให้บรรลุด้วย เกิดเสื่อมศรัทธาที่พระองค์ล้มเลิกความตั้งใจ จึงเดินทางกลับไปที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน ตำบลสารนาถ เมืองพาราณสี


 ประวัติพระพุทธเจ้า : ตรัสรู้
          ครานั้นพระองค์ทรงประทับนั่งขัดสมาธิ ใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์ ณ อุรุเวลาเสนานิคม เมืองพาราณสี หันพระพักตร์ไปทางทิศตะวันออก และตั้งจิตอธิษฐานด้วยความแน่วแน่ว่าตราบใดที่ยังไม่บรรลุสัมมาสัมโพธิญาณ ก็จะไม่ลุกขึ้นจากสมาธิบัลลังก์ แม้จะมีหมู่มารเข้ามาขัดขวาง แต่ก็พ่ายแพ้พระบารมีของพระองค์กลับไป จนเวลาผ่านไปในที่สุดพระองค์ทรงบรรลุรูปฌาณ คือ ครานั้นพระองค์ทรงประทับนั่งขัดสมาธิ ใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์ ณ อุรุเวลาเสนานิคม เมืองพาราณสี หันพระพักตร์ไปทางทิศตะวันออก และตั้งจิตอธิษฐานด้วยความแน่วแน่ว่าตราบใดที่ยังไม่บรรลุสัมมาสัมโพธิญาณ ก็จะไม่ลุกขึ้นจากสมาธิบัลลังก์ แม้จะมีหมู่มารเข้ามาขัดขวาง แต่ก็พ่ายแพ้พระบารมีของพระองค์กลับไป จนเวลาผ่านไปในที่สุดพระองค์ทรงบรรลุรูปฌาณ คือ

          ยามต้น หรือปฐมยาม ทรงบรรลุปุพเพนิวาสานุสติญาณ คือ สามารถระลึกชาติได้

          ยามสอง ทางบรรลุจุตูปปาตญาณ (ทิพยจักษุญาณ) คือ รู้เรื่องการเกิดการตายของสัตว์ทั้งหลายว่าเป็นไปตามกรรมที่กำหนดไว้

          ยามสาม ทรงบรรลุอาสวักขยญาณ คือ ความรู้ที่ทำให้สิ้นอาสวะ หรือกิเลส ด้วยอริยสัจ 4 ได้แก่ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ และมรรค และได้ตรัสรู้ด้วยพระองค์เองเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และเป็นศาสดาเอกของโลก ซึ่งวันที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ ตรงกับวันเพ็ญเดือน 6 ขณะที่มีพระชนม์ 35 พรรษา


 ประวัติพระพุทธเจ้า : แสดงปฐมเทศนา          หลังจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้แล้ว ทรงพิจารณาธรรมที่พระองค์ตรัสรู้มาเป็นเวลา 7 สัปดาห์ และทรงเห็นว่าพระธรรมนั้นยากต่อบุคคลทั่วไปที่จะเข้าใจและปฏิบัติได้ พระองค์จึงทรงพิจารณาว่า บุคคลในโลกนี้มีหลายจำพวกอย่าง บัว 4 เหล่า ที่มีทั้งผู้ที่สอนได้ง่าย และผู้ที่สอนได้ยาก พระองค์จึงทรงระลึกถึงอาฬารดาบสและอุทกดาบส ผู้เป็นพระอาจารย์ จึงหวังเสด็จไปโปรด แต่ทั้งสองท่านเสียชีวิตแล้ว พระองค์จึงทรงระลึกถึงปัญจวัคคีย์ ทั้ง 5 ที่เคยมาเฝ้ารับใช้ จึงได้เสด็จไปโปรดปัญจวัคคีย์ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน

          ธรรมเทศนากัณฑ์แรกที่พระองค์ทรงแสดงธรรมคือ "ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร" แปลว่าสูตรของการหมุนวงล้อแห่งพระธรรมให้เป็นไป ซึ่งถือเป็นการแสดงพระธรรมเทศนาครั้งแรก ในวันเพ็ญ ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 8 ซึ่งตรงกับวันอาสาฬหบูชา

          ในการนี้พระโกณฑัญญะได้ธรรมจักษุ คือดวงตาเห็นธรรมเป็นคนแรก พระพุทธองค์จึงทรงเปล่งวาจาว่า "อัญญาสิ วตโกณฑัญโญ" แปลว่า โกณฑัญญะได้รู้แล้ว ท่านโกณฑัญญะ จึงได้สมญาว่า อัญญาโกณฑัญญะ และได้รับการบวชเป็นพระสงฆ์องค์แรกในพระพุทธศาสนา โดยเรียกการบวชที่พระพุทธเจ้าบวชให้ว่า "เอหิภิกขุอุปสัมปทา"
          หลังจากปัญจวัคคีย์อุปสมบททั้งหมดแล้ว พุทธองค์จึงทรงเทศน์อนัตตลักขณสูตร ปัญจวัคคีย์จึงสำเร็จเป็นอรหันต์ในเวลาต่อมา


 ประวัติพระพุทธเจ้า : การเผยแผ่พระพุทธศาสนา          ต่อมาพระพุทธเจ้าได้เทศน์พระธรรมเทศนาโปรดแก่ยสกุลบุตร รวมทั้งเพื่อนของยสกุลบุตร จนได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ทั้งหมด รวม 60 รูป

          พระพุทธเจ้าทรงมีพระราชประสงค์จะให้มนุษย์โลกพ้นทุกข์ พ้นกิเลส จึงตรัสเรียกสาวกทั้ง 60 รูป มาประชุมกัน และตรัสให้พระสาวก 60 รูป จาริกแยกย้ายกันเดินทางไปประกาศศาสนา 60 แห่ง โดยลำพัง ในเส้นทางที่ไม่ซ้ำกัน เพื่อให้สามารถเผยแผ่พระพุทธศาสนาได้ในหลายพื้นที่อย่างครอบคลุม ส่วนพระองค์เองได้เสด็จไปแสดงธรรม ณ ตำบลอุรุเวลา เสนานิคม
          หลังจากสาวกได้เดินทางไปเผยแผ่พระพุทธศาสนาในพื้นที่ต่างๆ ทำให้มีผู้เลื่อมใสพระพุทธศาสนาเป็นจำนวนมาก พระองค์จึงทรงอนุญาตให้สาวกสามารถดำเนินการบวชได้ โดยใช้วิธีการ "ติสรณคมนูปสัมปทา" คือ การปฏิญาณตนเป็นผู้ถึงพระรัตนตรัย พระพุทธศาสนาจึงหยั่งรากฝังลึกและแพร่หลายในดินแดนแห่งนั้นเป็นต้นมา


 ประวัติพระพุทธเจ้า : เสด็จดับขันธ์ปรินิพพ
          พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้เสด็จโปรดสัตว์และแสดงพระธรรมเทศนา ตลอดระยะเวลา 45 พรรษา ทรงสดับว่า อีก 3 เดือนข้างหน้าจะปรินิพพาน จึงได้ทรงปลงอายุสังขาร ขณะนั้นพระองค์ได้ประทับจำพรรษา ณ เวฬุคาม ใกล้เมืองเวลาสี แคว้นวัชชี โดยก่อนเสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน 1 วัน พระองค์ได้เสวยสุกรมัททวะที่นายจุนทะทำถวาย แต่เกิดอาพาธลง ทำให้พระอานนท์โกรธ แต่พระองค์ตรัสว่า "บิณฑบาตที่มีอานิสงส์ที่สุด มี 2 ประการ คือ เมื่อตถาคต (พุทธองค์) เสวยบิณฑบาตแล้วตรัสรู้ และปรินิพพาน" และมีพระดำรัสว่า "โย โว   อานนท   ธมม  จ วินโย มยา เทสิโต ปญญตโต  โส  โว  มมจจเยน  สตถา" อันแปลว่า  "ดูก่อนอานนท์  ธรรมและวินัยอันที่เราแสดงแล้ว  บัญญัติแล้วแก่เธอทั้งหลาย  ธรรมวินัยนั้น  จักเป็นศาสดาของเธอทั้งหลาย  เมื่อเราล่วงลับไปแล้ว"

          พระพุทธเจ้าทรงประชวรหนัก แต่ทรงอดกลั้นมุ่งหน้าไปยังเมืองกุสินารา ประทับ ณ ป่าสาละ เพื่อเสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน โดยก่อนที่จะเสด็จดับขันธ์ปรินิพพานนั้น พระองค์ได้อุปสมบทแก่พระสุภัททะปริพาชก  ซึ่งถือได้ว่า "พระสุภภัททะ" คือสาวกองค์สุดท้ายที่พระพุทธองค์ทรงบวชให้ ในท่ามกลางคณะสงฆ์ทั้งที่เป็นพระอรหันต์ และปุถุชนจากแคว้นต่างๆ รวมทั้งเทวดา ที่มารวมตัวกันในวันนี้

          ในครานั้นพระองค์ทรงมีปัจฉิมโอวาทว่า "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราขอบอกเธอทั้งหลาย สังขารทั้งปวงมีความเสื่อมสลายไปเป็นธรรมดา พวกเธอจึงทำประโยชน์ตนเอง และประโยชน์ของผู้อื่นให้สมบูรณ์ด้วยความไม่ประมาทเถิด" (อปปมาเทน สมปาเทต)
          จากนั้นได้เสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน ใต้ต้นสาละ ณ สาลวโนทยาน ของเหล่ามัลลกษัตริย์ เมืองกุสินารา แคว้นมัลละ ในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 รวมพระชนม์ 80 พรรษา และวันนี้ถือเป็นการเริ่มต้นของพุทธศักราช 

วันพฤหัสบดีที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

อาชีพหมอ หรือ แพทย์


แพทย์ คือ ผู้ให้บริการด้านการรักษาสุขภาพร่างกาย และจิตใจในด้านต่าง ๆแพทย์ ในยุคปัจจุบันแบ่งออกได้หลายสาขา ตามสาขาเฉพาะทาง ยกตัวอย่างเช่น โรคผิวหนัง อายุรกรรม ศัลยกรรม โรคกระดูก โรคหู คอ โรคต่อมไร้ท้อ ระบบประสาท โรค แพทย์ผ่าตัด แพทย์ทั่วไป ฯลฯ
ลักษณะงานที่เกี่ยวข้องกับอาชีพวินิจฉัยโรคหรืออาการของโรคให้การรักษาโรคให้คำแนะนำทางการแพทย์
คุณสมบัติของผู้ประกอบอาชีพ1. มีความรู้ความสามารถทางวิชาการ2. มีผลการเรียนอยู่ในระดับดีถึงดีมาก3. มีสิตปัญญาดี4. มีสุขาพร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์5. เป็นผู้เสียสละ6. รักและศรัทธาต่อวิชาชีพแพทย์7. มีความมั่นใจในตนเอง8. ไม่กลัวเลือด9. ชอบการให้บริการ10. ไม่รังเกลียดคนป่วย11. ชื่นชอบงานท้าทาย12. อดทนต่อสภาพแรงกดดันได้ดี13. มีความซื่อสัตย์14. อื่นๆ
แนวทางพัฒนาอาชีพ1. แพทย์2. แพทย์ประจำตำบล3. แพทย์ประจำโรงพยาบาลอำเภอ4. แพทย์ประจำโรงพยาบาลจังหวัด5. แพทย์โรงพยาบาลเอกชน6. แพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง7. ผู้ประกอบการโรงพยาบาล8. เจ้าของคลินิก9. อาจารย์หมอ10. อื่น ๆ
แหล่งความรู้เพิ่มเติม1. ห้องแนะแนวประจำโรงเรียน2. ห้องสมุดต่าง ๆ3. มหาวิทยาลัยที่เปิดสอนหลักสูตรแพทย์ เช่น มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มหาวิทยาลัยมหิดล จุฬาลงกรณ์ ฯลฯ4. เว็บไซต์5. เอกสารและหนังสือต่าง ๆ6. อื่น ๆ
ข้อคิดเห็นเพิ่มเติมอาชีพแพทย์เป็นอาชีพที่เสียสละ เนื่องจากเป็นอาชีพที่ต้องทุ่มเทเวลาส่วนใหญ่กับการดูแลรักษาคนไข้โดยผู้ที่สนใจศึกษาคณะแพทย์ควรเลือกค้นหาข้อมูลให้เยอะ ๆก่อนตัดสินใจ และรู้ว่าตนเองมีความชอบความสนใจจริงหรือไม่หากมีความสนใจอาชีพนี้อย่างแท้จริงแล้วถือว่าอาชีพแพทย์สร้างประโยชน์ให้สังคมอย่างมหาศาลแต่หากเลือกไปตามกระแสสังคมหรือความนิยม การทำงานของเราก็ไม่มีความสุขฉะนั้นก่อนตัดสินใจเรียนหรือเลือกเรียนสาขาวิชาใดก็ตาม ต้องคิดให้รอบคอบและต้องรู้จักตนเองให้ดีพอว่าเราชอบสิ่งใด เพื่อความสุขและอนาคตในการดำรงชีวิตอย่างมีคุณค่าตรงความปรารถนาของเรา....

>> แนวทางในการประกอบอาชีพ
ผู้ได้รับปริญญาแพทยศาสตร์บัณฑิตแล้ว จะต้องสมัครเป็นสมาชิกแพทยสภา และจะต้องผ่านการสอบเป็นผู้ประกอบอาชีพเวชกรรมตามหลักเกณฑ์การสอบความรู้ เพื่อขอขึ้นทะเบียนและรับใบอนุญาตเป็นผู้ประกอบอาชีพเวชกรรมตามที่แพทยสภากำหนด เช่นเดียวกับผู้ที่สำเร็จจากคณะแพทยศาสตร์อื่นๆ บัณฑิตแพทย์ที่สำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ สามารถจะศึกษาต่อเพื่อความเชี่ยวชาญเฉพาะทางได้ในระหว่างและภายหลังการทำงานใช้ทุนในพื้นที่แล้ว หรือสามารถที่จะศึกษาต่อในระดับบัณฑิตศึกษาได้ นอกจากนี้ยังสามารถที่จะประกอบอาชีพเป็นอาจารย์ หรือเป็นแพทย์ในโรงพยาบาลทั้งของรัฐและเอกชน หรือในศูนย์บริการสุขภาพชุมชนซึ่งต้องการแพทย์จำนวนมาก

ที่มา : http://nong23190.blogspot.com/

เงินเดือนอาชีพต่างๆ

มติชนเขาไปรวบรวมเงินเดือนอาชีพต่างๆ ในประเทศไทยมาให้ดู น่าสนใจดีครับ
ประธานองคมนตรี เงินเดือน 114,000 บาท
องคมนตรี เงินเดือน 104,500 บาท
ประธานศาลฎีกา เงินเดือน 75, 590 บาท เงินประจำตำแหน่ง 50,000 บาท
ผู้ช่วยผู้พิพากษา เงินเดือน 17,560 -18,950 บาท
ประธานศาลปกครองสูงสุด เงินเดือน 75,590 บาท เงินประจำตำแหน่ง 50,000 บาท
ตุลาการศาลปกครองชั้นต้น เงินเดือน 67,560 บาท เงินประจำตำแหน่ง 30,000 บาท
อัยการ เงินเดือน 73,240 บาท เงินประจำตำแหน่ง 42,500 บาท
อัยการ เงินเดือน 17,560 - 18,950 บาท
นายกรัฐมนตรี เงินเดือน 75, 590 บาท เงินประจำตำแหน่ง 50,000
รองนายกรัฐมนตรี เงินเดือน 74,420 บาท เงินประจำตำแหน่ง 45,000 บาท
รัฐมนตรี เงินเดือน 73,240 บาท เงินประจำตำแหน่ง 42,500 บาท
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เงินเดือน 47, 250 บาท
ประธานสภาผู้แทนราษฎร เงินเดือน 75,590 บาท เงินประจำตำแหน่ง 50,000 บาท
ประธานวุฒิสภา เงินเดือน 74,420 บาท เงิน เงินประจำตำแหน่ง 45,500 บาท
รองประธานสภาผู้แทนราษฎร เงินเดือน 73,240 บาท เงินประจำตำแหน่ง 42,500 บาท
รองประธานวุฒิสภา เงินเดือน 73,240 บาท เงินประจำตำแหน่ง 42, 500 บาท
ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร เงินเดือน 73,240 บาท เงินประจำตำแหน่ง 42,500 บาท
สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เงินเดือน 71,230 บาท เงินประจำตำแหน่ง 42,330 บาท
สมาชิกวุฒิสภา เงินเดือน 71,230 บาท เงินประจำตำแหน่ง 42,330 บาท
ข้าราชการทหาร ระดับนายพล ระดับ น.ชั้น 9.5 เงินเดือน 70,930 บาท
ต่ำสุด ระดับ พ.1 -ระดับ 25 เงินเดือน 1,360- 6,050 บาท
ข้าราชการพลเรือนสามัญ ขั้นสูง ระดับสูง เงินเดือน 69,810 บาท
ข้าราชการพลเรือนสามัญ ประภททั่วไป ปฎิบัติงาน ขั้นต่ำ เงินเดือน 4,870 บาท
ข้าราชการครู ขั้นสูง คศ. เงินเดือน 66,480 บาท
ข้าราชการครูผู้ช่วย ขั้นต่ำชั่วคราว เงินเดือนเริ่มที่ 7,940 บาท
บัญชีอัตราเงินวิทยฐานะ ครูเชี่ยวชาญพิเศษ 15,600 บาท
ครูเชี่ยวชาญ 9,900 บาท
ครูชำนาญการพิเศษ 5,600 บาท
ครูชำนาญการ 3,500 บาท
วิศวกร สาขาต่างๆ เงินเดือน เริ่มต้นที่ 12,000 บาท สูงสุดที่ 60,000 บาท โบนัสและสวัสดิการต่างหากแล้วแต่ระดับการจ่ายของบริษัท
แพทย์ สาขาต่างๆขึ้นอยู่กับรายได้แต่ละแพทย์เฉพาะทาง
ในส่วนของระบบราชการจะอยู่ในระดับโครงสร้างของข้าราชการ ซึ่งอาจเสริมรายได้จากการไปเป็นแพทย์พิเศษตามสถานพยาบาลต่างๆ อีก หรือคลินิก
ขณะที่แพทย์ของเอกชน ก็ขึ้นอยู่กับรายได้ของเฉพาะทางนั้นๆ บางรายมีรายได้สูงสุดต่อเดือนนับล้านบาท
งานด้านคอมพิวเตอร์ โปรแกรมเมอร์เจ้าหน้าที่ Network ,เว็บมาสเตอร์ เงินเดือน 12,000-50,000 บาท
กราฟฟิก ดีไซน์เนอร์ เงินเดือน 15,000 บาท ขึ้นไป
ผู้สื่อข่าว-ช่างภาพหนังสือพิมพ์/วิทยุ/เว็บไซต์ เงินเดือน 7,000 - 25,000 บาท
ระดับหัวหน้าข่าว 23,000-35,000 บาท
ระดับบรรณาธิการบริหาร 30,000 บาท ขึ้นไป
ผู้สื่อข่าว-ช่างภาพโทรทัศน์/ผู้ประกาศข่าว เงินเดือน 12,000 - 40,000 บาท
ระดับหัวหน้าข่าว 30,000 - 50,000 บาท
ระดับบรรณาธิการบริหาร 40,000 บาท ขึ้นไป
คอลัมนิสต์,นักเขียน นิตยสาร เงินเดือน 9,000-50,000 บาท ขึ้นไป
พนักงานบัญชี เริ่มต้นที่ 9,000 บาทขึ้นไป
พนักงานบริษัททางด้านสายงานต่างๆ เริ่มต้นที่ 10,000 บาท ขึ้นไป
สาวไซด์ไลน์ การขายวิวจะเริ่มที่ 90 หรือ 100 บาทขึ้นไป สูงสุดไม่เกิน 1,000 บาท ต่อครั้ง ถ้าเป็นเดือน เฉลี่ย เดือนละ 3-4 หมื่นบาท
พนักงานโรงแรม ในระดับทั่วไป เงินเดือน 4,000 บาท ขึ้นไป ไม่รวมค่า เซอร์วิส ชาร์ต
พนักงานโรงแรม แผนกต้อนรับ เงินเดือน 10,000 บาทขึ้น ไม่รวมค่าเซอร์วิส ชาร์ต
พนักงานขับรถลีมูซีน ประจําโรงแรมห้าดาว-สนามบิน เงินเดือน 16,600 บาท ขึ้นไป
โชเฟอร์ขับแท็กซี่ เฉลี่ยรายได้วันละ 250 บาท ขึ้นไป (หักค่าเช่า+น้ำมันแล้ว)
รถจักรยานยนต์รับจ้าง เฉลี่ยรายได้วันละ 300 บาท ขึ้นไป (หักค่าวิน+น้ำมันแล้ว)
เกษตรกร รายได้ขึ้นอยู่กับผลผลิตสินค้าเกษตร ไม่ว่าจะเป็นการทำไร่ ทำสวน ปลูกพืช ผัก ผลไม้ หรือแม้แต่การเลี้ยงสัตว์ การทำประมง
สำหรับผู้ใช้แรงงานทุกประเภท ค่าแรงขั้นต่ำ เฉลี่ยอยู่ที่วันละ 215 บาท ขึ้นไป
นี่เป็นเพียงรายได้ส่วนหนึ่งจากหลากหลายอาชีพ ไม่ใช่ทั้งหมด ยังคงเหลือพวกทำอาชีพธุรกิจส่วนตัว ร้านอาหาร ห้างสรรพสินค้า พ่อค้า แม่ขาย

ข่าวจาก...http://www.sanook.com/

ที่มา : http://www.oknation.net/blog/monchai83/2011/04/05/entry-1

บรอดแบนด์

    บรอดแบนด์ คือ ระบบการสื่อสารที่มีความเร็วสูง รับปริมาณการสื่่อสารได้มากมายหลายช่องสัญญาณ ซึ่งปัจจุบันระบบบรอดแบนด์ในประเทศไทยได้เข้ามาสู่ผู้ใช้งานตามบ้านแล้ว ด้วยการบริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง ( Asymmetric Digital Subscripber Line : ADSL ) ซึ่งทำให้การใช้บริการอินเทอร์เน็ตมีความเร็วสูงสุดมากกว่า 2.0 เมกะบิตต่อวินาที แต่ในทางธุระกิจโทรคมนาคม คำว่าบรอดแบนด์อาจหมายถึง ระดับความเร็วที่มากกว่าหรือเท่ากับ 256 กิโลบิตต่อวินาที ดังนั้นจึงถือว่าระดับความเร็ว 256 กิโลบิตต่อวินาที เป็นระดับความเร็วชั้นต่ำสุดของบรอดแบนด์นั่นเอง


ที่มา : หนังสือเรียน เทคโนโลยีสารสนเทศและการสือสาร ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2

โปรแกรมแสกนไวรัส

  โปรแกรมแสกนไวรัสที่สามารถดาวน์โหลดได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายมีหลายโปรแกรม  ที่ได้รับความนิยมมาก เช่น
- BiDefender Antivirus 2010 สามารถกำจัดสปายแวร์และมัลแวร์อื่นๆพร้อมกับการอัพเดตทุกชั่วโมง
- ESET Nod32 สามารถตรวจจับไวรัสที่ยังไม่มีใครรู้จักมาก่อน  โดยไม่ต้องอัพเดตฐานข้อมูลไวรัสแต่อย่างใด
- McAffe VirusScan สามารถตรวจจับสปายแวร์และแอดแวร์โดยอัตโนมัติ อัพเดตระบบแบบรายวันจัดการกับไวรัส เวิร์ม โทรจัน ActiveX และ Java applet ได้ในทันทีที่เข้าสู่ระบบ
- Norton AntiVirus ป้องกันไวรัส เวริ์ม สปายแวร์ บอทซ์ และอีกมากมาย ช่วยประหยัดเวลาด้วยการสแกนที่ใช้เวลาสั้น

ที่มา : หนังสือเรียน เทคโนโลยีสารสนเทศและการสือสาร ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2